วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

การแต่งชิ้นงานเรซิ่น

การผลิตชิ้นงาน มีเทคนิคและวิธีการทำให้ผิวหน้าของชิ้นงานมีความแตกต่างกันตามความต้องการของเรา ดังต่อไปนี้


1. ทำผิวให้เรียบ ชิ้นงานที่มีตำหนิที่เกิดจากรอยต่อ รอยหยาบ ผิวฐาน หรือช่องเท เรซิ่น ควรขัดด้วยกระดาษทรายน้ำ หรือเครื่องขัด ถ้าผิวเป็นหลุม รอยแตก ควรผสมเรซิ่นให้เป็นเนื้อเดียวกับชิ้นงานหยอดให้เต็ม รอให้แข็งตัวแล้วนำไปขัด


2. ทำให้ผิวมัน เมื่อถอดชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ซิลิโคนแม้ชิ้นงานจะเรียบแต่ไม่มันนั้นมีเทคนิคการทำดังนี้

- ใช้ล้อขัดติดมอเตอร์

- ทาหรือพ่นแล็กเกอร์ใสหรือโพลียูรีเทน นิยมใช้กับเครื่องประดับหรืองานหล่อเพราะชิ้นงานที่หล่อจากแม่พิมพ์ผ่าจะมี ตำหนิตามแนวรอยผ่าต้องขัดกระดาษทรายให้เรียบก่อน จากนั้นจึงทาหรือพ่นแล็กเกอร์ใสหรือโพลียูรีเทน จะทำให้ผิวหน้าเป็นมัน

- ขัดด้วยยาขัดรองเท้า ยาขัดสีดำขัดชิ้นงานสีดำ ยาขัดสีน้ำตาลขัดชิ้นงานสีน้ำตาล โดยใช้แปรงขัดรองเท้า หรือแปรงสีฟันบริเวณซอกเล็ก ๆ


3. ทำผิวให้โบราณ

- จุ่มชิ้นงานในอะซิโตน อะซิโตนจะกัดผิวหน้าให้กร่อน ยิ่งจุ่มนานจะกร่อนมาก จากนั้นจึงนำไปคลุกดิน คลุกแป้ง ย้อมสีน้ำหรือเชลแล็ก ทำให้สีขมุกขมัวเก่ามากขึ้น

- ย้อมสี ทาสีน้ำ เชลแล็ก หรือน้ำมันวานิชให้ทั่ว และทิ้งให้แห้งและเช็ดออก (โดยใช้ตัวทำละลายเช็ด) บริเวณที่เช็ดคือส่วนนูนจะมีสีจางบริเวณซอกหรือผิวหยาบจะมีสีเข้ม จะทำให้ชิ้นงานดูเก่า


4. ทำให้ผิวมีสีสวยงาม ใช้สีพลาสติก สีน้ำมันทั่วไป สีอีพ๊อกซี่ สีอะคริลิก น้ำมันวานิช เชลแล็ก แม้กระทั่งการลงรักปิดทอง


5. ทำให้ผิวเหมือนโลหะ ต้องการให้ผิวชิ้นงานเป็นทองแดง เงิน ทอง ทำได้โดยการนำไปชุบเคลือบผิวด้วยไฟฟ้า หรือนำไปชุบเคลือบผิวด้วยระบบสุญญากาศ


6. ทำให้ผิวด้าน

- ขัดผิวด้วยกระดาษทรายน้ำ ประหยัดที่สุด แต่ผิวจะเป็นรอยที่ไม่เสมอกัน

- จุ่มแช่ในน้ำยากัดเรซิ่น (น้ำยาเชื่อมแผ่นอะคริลิค) เป็นชิ้นงานที่ต้องผสมวัสดุอื่น ๆ เช่น ผงหิน ผงทัลคัม ผงทราย ฯลฯ กับเรซิ่น เมื่อแข็งตัวแล้วจึงนำไปแช่กับน้ำยาเรซิ่นประมาณ 30 120 วินาที ผิวชิ้นงานจะหยาบด้าน

- พ่นด้วยเครื่องพ่นทราย ทำให้ผิวเสมอกันดี เหมาะจะใช้กับระบบอุตสาหกรรม


เราหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้รักการประดิษฐ์และงานศิลปะทุกท่าน

การซ่อมชิ้นงานไฟเบอร์กลาส

วัสดุและอุปกรณ์
1. เรซิ่นเกรดไฟเบอร์กลาส ในที่ที่ใช้แบบผสมตัวม่วงแล้ว
2. ตัวทำแข็ง (Hardener)
3. ใยแก้ว CSM #450
4. อะซิโตน (Acetone) สำหรับล้างแปรง
5. ผงทัลคัม (Talcum)
6. ถ้วยผสมเรซิน
7. แปรงและลูกกลิ้งสำหรับทาเรซิน
8. กระดาษทราย เบอร์ 150
9.ไม้ไอศกรีม ใช้กวนเรซิ่นกับตัวทำแข็งให้เข้ากัน
10.ผ้าปิดมูก
11.ถุงมือ

วิธีทำ
1. ให้ทำความสะอาดผิวชิ้นงานก่อนโดยการขัดรอบ ๆ ผิวไฟเบอร์กลาสที่แตกหรือชำรุด ด้วยกระดาษทรายเบอร์ 150 ให้ลึกไปถึงเนื้อไฟเบอร์ จากนั้นปัดฝุ่นโดยใช้ลมเป่าไม่ให้มีเศษละอองฝุ่นที่สกปรกติดอยู่
2. ฉีกใยแก้วเตรียมไว้ ว่าจะใช้ปะ หรือวางทาบบริเวณใด และขนาดใดบ้าง ใช้เรซิ่นเกรดไฟเบอร์กลาสที่ผสมตัวม่วงแล้ว ตวงในถ้วยพลาสติกปริมาณเท่าที่จะใช้ ตวงตัวทำแข็งลงไปประมาณ 1 – 2% ของปริมาณเรซิ่น ใช้ไม้กวนเบาๆให้เข้ากัน โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้
3. เมื่อ ผสมกันได้ที่แล้ว ให้ใช้แปรงจุ่มเรซิ่นทาบริเวณที่ต้องการให้ทั่ว แล้ววางใยแก้วทับลงไป ใช้เรซิ่นทาซ้ำอีกครั้ง โดยใช้แปรงหรือลูกกลิ้งไล่กด เพื่อให้แน่ใจว่าใยแก้วและเรซิ่นติดบริเวณที่ต้องการได้สนิทแล้ว ถ้าต้องการให้หนาขึ้น ให้ทำซ้ำได้หลายชั้นตามที่ต้องการ
4. หลังจากทาเรซิ่นที่ผสมแล้ว เรซิ่นจะเริ่มแข็งตัวประมาณ 30 นาที - 1 ชม. และแข็งดีขึ้นประมาณ 2 - 3 ชม.
5. ทำการแต่งผิวเรซิ่นให้เรียบร้อยตามต้องการอีกครั้ง ด้วยกระดาษทราย หรือใช้อุปกรณ์สำหรับตัดแต่งที่เตรียมไว้แล้ว


ข้อควรระวัง
1. ควรผสมเรซิ่นแค่พอใช้งาน จะได้ไม่ต้องเสียในส่วนที่เหลือ เพราะจะแข็งตัวใช้ไม่ได้
2. ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกขณะทำงาน เพื่อป้องกันกลิ่นและฝุ่นละออง
3. ถ้าต้องการให้ชิ้นงานแข็งสามารถผสมทัลคัมใรเรซิ่นได้ใช้อัตราส่วน เรซิ่น 2 ส่วน ทัลคัม 1 ส่วน

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

การทำแม่แบบ/ชิ้นงานไฟเบอร์กลาส แบบ Lay-Up

วัสดุและอุปกรณ์

1. เรซิ่นเกรดไฟเบอร์กลาส แบบผสมตัวม่วงแล้ว

2. ตัวทำแข็ง (Hardener)

3. ตัวช่วยเร่งปฎิกิริยา (Cobalt)

4. โมโนสไตรีน

5. ใยแก้ว CSM #450

6. เจลโค๊ท (Gel Coat)

7. สีผสมเรซิน

8. อะซิโตน (Acetone) สำหรับล้างแปรง

9. ขี้ผึ้งถอดแบบ

10.น้ำยาถอดแบบ PVA (Pva Release Agent)

11.ผงทัลคัม (Talcum)

12. ถ้วยผสมเรซิน

13. แปรงและลูกกลิ้งสำหรับทาเรซิน

14. ลูกกลิ้ง สำหรับไล่ฟองอากาศ

15. ฟองน้ำ

16. ผ้าขัด

17. กระดาษทราย เบอร์ 240,150

18. มีด , กรรไกร

19. เครื่องมือที่ใช้ตัด เจียร์ หรือเจาะ

20.ไม้ไอศกรีม ใช้กวนเรซิ่นกับตัวทำแข็งให้เข้ากัน

21.ผ้าปิดมูก

22.ถุงมือ

23.หลอดฉีดยา


ต้นแบบงานไฟเบอร์กลาส

ควรมีลักษณะเรียบมัน เช่น วัสดุพวกพลาสติก งานไฟเบอร์กลาสเอง หรือวัสดุที่ผิวเรียบและพ่นสีเคลือบทับอย่างดี และพวกโลหะที่มีผิวมัน ***กรณี ต้นแบบมีผิวไม่เรียบ เช่นหิน หรือการแกะสลักไม้ และต้องการรายละเอียดลักษณะของงานแบบนั้นให้ทำแม่แบบด้วยซิลิโคนเพื่อเก็บ รายละเอียดของชิ้นงาน



วิธีการทำแม่แบบ (Lay-Up)

เป็นวิธีที่ง่าย ลงทุนต่ำ

1. เตรียมต้นแบบ โดยการทำความสะอาดด้วยน้ำ แล้วตากให้แห้ง

2. ขัด ผิวชิ้นงานด้วยขี้ผึ้งถอดแบบ โดยใช้ฟองน้ำหรือผ้าป้ายขี้ผึ้งแล้ววนเป็นก้นหอยให้ทั่วชิ้นงาน พอขึ้ผึ้งเริ่มแห้งจึงเช็ดออก ทำแบบนี้ 4 – 5 ครั้งเพื่อให้ขึ้ผึ้งเคลือบผิวเป็นฟิล์มทั่วทั้งชิ้นงาน

3. ทาหรือพ่นน้ำยาถอดแบบ PVA แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง อาจต้องทาหลายครั้งจนทั่วชิ้นงาน

4. เตรียมเจลโค๊ด ให้ผสมโมโนสไตรรีน 5 – 10 % ผสมตัวม่วง 0.2 % หรือดูสีให้มีสีม่วงอ่อน ๆ ถ้าต้องการสีให้ผสมสีผสมเรซิ่น เมื่อต้องการใช้งานให้เจลโค๊ตลงในถ้วยพลาสติกปริมาณเท่าที่จะใช้ ตวงตัวทำแข็งลงไปประมาณ 1 – 2% ของปริมาณเจลโค๊ท ใช้ไม้กวนเบาๆให้เข้ากัน โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้

5. ทาหรือพ่นเจลโค๊ทที่แม่แบบ แล้วทิ้งให้แข็งตัว

6. ใช้ เรซิ่นเกรดไฟเบอร์กลาสที่ผสมตัวม่วงแล้ว(อาจผสมผงทัลคัมและสี)ตวงในถ้วย พลาสติกปริมาณเท่าที่จะใช้ ตวงตัวทำแข็งลงไปประมาณ 1 – 2% ของปริมาณเรซิ่น ใช้ไม้กวนเบาๆให้เข้ากัน โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้

7. ทาส่วนผสมของเรซิ่นลงบนชั้นที่ลงเจตโค๊ตไปแล้ว รอจนเริ่มเซ็ตตัว ใช้นิ้วแตะดูจะหนึบ ๆ มือ ใช้เวลาประมาณ 20- 30 นาที

8. วางใยแก้วทับที่แม่แบบ กรณีที่เป็นซอกให้ยีใยแก้วเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วแปะลงตาทซอกนั้น จากนั้นใช้ลูกกลิ้งเหล็กรีดใยแก้วให้จุ่มลงในเรซิ่น

9. ใช้แปรงจุ่มเรซิ่นที่ผสมตัวทำแข็ง เท ทับที่ใยแก้ว แล้วใช้ลูกกลิ้งเหล็กไล่น้ำยา เพื่อให้แน่ใจว่าใยแก้วติดชิ้นงานดีแล้ว และไม่มีฟองอากาศในเนื้อเรซิ่น รอให้แข็งใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชม.

10. ถ้าต้องการความแข็งแรงขึ้นของแม่แบบ ให้ทำซ้ำในข้อ. 7 – 9 ตามจำนวนชั้นที่ต้องการ

11. เมื่อปล่อยให้แข็งตัวประมาณ 2 - 3 ชม. แล้ว ให้ทำการแต่งขอบโดยใช้ เครื่องมือตัด กรรไกร

12. ถอดแม่แบบออกโดยค่อยแซะขอบของชิ้นงานด้วยใช้ลิ่มไม้ตอก , ใช้น้ำอัด หรือ ล่มเป่า

13. เมื่อ ถอดแม่แบบได้แล้ว ขัดผิวชิ้นงานด้วยขี้ผึ้งถอดแบบ โดยใช้ฟองน้ำหรือผ้าป้ายขี้ผึ้งแล้ววนเป็นก้นหอยให้ทั่วชิ้นงาน พอขึ้ผึ้งเริ่มแห้งจึงเช็ดออก ทำแบบนี้ 4 – 5 ครั้งเพื่อให้ขึ้ผึ้งเคลือบผิวเป็นฟิล์มทั่วทั้งชิ้นงาน เพื่อเตรียมหล่อชิ้นงานไฟเบอร์กลาสต่อไป



วิธีการทำชิ้นงานไฟเบอร์กลาส

1. เตรียมแม่แบบ โดยการทำความสะอาดด้วยน้ำ แล้วตากให้แห้ง

2. ทาหรือพ่นน้ำยาถอดแบบ PVA แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง อาจต้องทาหลายครั้งจนทั่วชิ้นงาน

3. เตรียมเจลโค๊ท ให้ผสมโมโนสไตรรีน 5 – 10 % ผสมตัวม่วง 0.2 % หรือดูสีให้มีสีม่วงอ่อน ๆ ถ้าต้องการสีให้ผสมสีผสมเรซิ่น เมื่อต้องการใช้งานให้เจลโค๊ตลงในถ้วยพลาสติกปริมาณเท่าที่จะใช้ ตวงตัวทำแข็งลงไปประมาณ 1 – 2% ของปริมาณเจลโค๊ท ใช้ไม้กวนเบาๆให้เข้ากัน โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้

4. ทาหรือพ่นเจลโค๊ทที่ชิ้นงาน แล้วทิ้งให้แข็งตัว

5. ใช้ เรซิ่นเกรดไฟเบอร์กลาสที่ผสมตัวม่วงแล้ว(อาจผสมผงทัลคัมและสี) ตวงในถ้วยพลาสติกปริมาณเท่าที่จะใช้ ตวงตัวทำแข็งลงไปประมาณ 1 – 2% ของปริมาณเรซิ่น ใช้ไม้กวนเบาๆให้เข้ากัน โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้

6. ทาส่วนผสมของเรซิ่นลงบนชั้นที่ลงเจตโค๊ตไปแล้ว รอจนเริ่มเซ็ตตัว ใช้นิ้วแตะดูจะหนึบ ๆ มือ ใช้เวลาประมาณ 20- 30 นาที

7. วางใยแก้วทับที่แม่แบบ กรณีที่เป็นซอกให้ยีใยแก้วเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วแปะลงตาทซอกนั้น จากนั้นใช้ลูกกลิ้งเหล็กรีดใยแก้วให้จุ่มลงในเรซิ่น

8. ใช้แปรงจุ่มเรซิ่นที่ผสมตัวทำแข็ง เท ทับที่ใยแก้ว แล้วใช้ลูกกลิ้งเหล็กไล่น้ำยา เพื่อให้แน่ใจว่าใยแก้วติดชิ้นงานดีแล้ว และไม่มีฟองอากาศในเนื้อเรซิ่น รอให้แข็งใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชม.

9. ถ้าต้องการความแข็งแรงขึ้นของแม่แบบ ให้ทำซ้ำในข้อ. 7 – 9 ตามจำนวนชั้นที่ต้องการ

10. เมื่อปล่อยให้แข็งตัวประมาณ 2 - 3 ชม. แล้ว ให้ทำการแต่งขอบโดยใช้ เครื่องมือตัด กรรไกร

11. ถอดชิ้นงานออกจากแม่แบบโดยค่อยแซะขอบของชิ้นงานด้วยใช้ลิ่มไม้ตอก , ใช้น้ำอัด หรือ ล่มเป่า

12. ตัดแต่งชิ้นงานด้วยกรรไกร เจียขอบชิ้นงานให้เรียบร้อย สวยงาม ขัดด้วยกระดาษทราย ก็จะได้ชิ้นงานตามต้องการ เพื่อนำไปทำสีต่อไป


ข้อสังเกต

1. การผสมเรซิ่น + ตัวม่วง 0.2% ของน้ำหนักเรซิ่น + ตัวทำแข็ง 0.5 - 2% เรซิ่นจะแข็งตัวภายใน 2 - 3 ขม. ถ้าต้องการลดความหนืด ให้ผสมโมโนสไตรีนก่อนผสมตัวทำแข็ง ประมาณ 5- 10 %

2. การพ่นน้ำยาถอดแบบ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที

3. ล้างแปรงและอุปกรณ์ด้วยอะซิโตน

4. การทำงานไฟเบอร์กลาสควรสวมผ้าปิดจมูก ถุงมือ และเครื่องแต่งกายที่รัดกุม เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและกลิ่นจากเรซิ่นและไฟเบอร์กลาส



การทำแม่พิมพ์/แม่แบบ ด้วยซิลิโคน

เพื่อใช้ในงานหล่อเรซิ่นหรืองานหล่อไฟเบอร์กลาส

วัสดุและอุปกรณ์

1. ต้นแบบที่ต้องการ

2. ยางซิลิโคน และตัวทำแข็ง(Hardener)ของซิลิโคน

3. แผ่นฟิวเจอร์บอร์ด

5. ดินน้ำมัน

6. ปูนพลาสเตอร์

7. ดินน้ำมัน

8. พู่กัน เบอร์ 20

9. ถ้วยสำหรับผสมซิลิโคน

10.ไม้ไอศกรีม ใช้กวนซิลิโคนกับตัวทำแข็งให้เข้ากัน

11.ผ้าปิดมูก

12.ถุงมือ


วิธีทำ

1. นำแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดมาตัดเพื่อรองการทำงาน

2. ปั้นดินน้ำมันเป็นเส้นขนาดประมาณครึ่งซม. ติดขอบฐานด้านล่างของต้นแบบ แล้วกดลงบนฟิวเจอร์บอร์ด ส่วนที่ปลิ้นออกมา ให้ใช้ไม้ไอศกรีมปาดออกให้เรียบร้อย เพื่อยกให้ต้นแบบสูงกว่าแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด

3. ทาวาสลีน ให้ทั่วตัวแบบ พื้น ด้วยพู่กัน หรือผ้า แล้วเช็ดให้มัน ไม่ให้มีรอยฝีแปรง

4. นำยางซิลิโคนที่เตรียมไว้มาเทลงในถ้วยจำนวนเท่าที่จะใช้ในการทา 1 ชั้น

5. ผสมตัวทำแข็งหรือฮาร์ดเดนเนอร์ของซิลิโตน ประมาณ 2 - 3 % ของน้ำหนักซิลิโคนที่เทลงในภาชนะ เทแล้วใช้ไม้ไอศกรีมกวนเบาๆให้ทั่ว โดยการกวนเน้นที่ขอบด้านข้างถ้วยและก้นถ้วย ตัวทำแข็งของซิลิโคนต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจึงสามารถใช้งานได้

6. ใช้พู่กันทาซิลิโคนตามรายละเอียดของชิ้นงาน ซิลิโคนจะไหลย้อยลงมาด้านล่างให้คอยใช้ภู่กันตักขึ้นไปไว้ที่จุดสูงสุดตลอดเวลา ระหว่างนั้นใช้ไม้จิ้มฟันคอยเขี่ยฟองให้แตก อย่าให้มีฟองเหลือ ทำอย่างนี้จนซิลิโคนหยุดไหล

7. ผสม ซิลิโคนแล้วเทแบบนี้ 3 ชั้น หรือให้ได้ความหนาประมาณ 2 – 3 มม. ก่อนจะเทใหม่แต่ละชั้นต้องรอให้ซิลิโคนแข็งตัว จึงจะเทชั้นต่อไปได้ ***กรณี ชิ้นงานเล็ก ๆ อาจใช้ซิลิโคนอย่างเดียวให้หนาขึ้น โดยไม่ต้องสร้างความแข็งแรงด้วยปูนปลาสเตอร์

8. ผสม ปูนพลาสเตอร์กับน้ำเปล่า อัตราส่วน 1:1 คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทลงให้ท่วมจุดที่สูงสุดของชิ้นงานขึ้นมาให้หนาประมาณ 1 เซ็นติเมตรหรือมากกว่า (อย่าบางนักจะไม่แข็งแรง) ปล่อยทิ้งไว้พอแห้งหมาดๆหาบัตรพลาสติกที่ไม้ใช้แล้ว ปาดแต่งด้านบนให้ดูเรียบร้อย รอจนแห้งสนิท

9. แกะซิลิโคนและปูนปลาสเตอร์ออกจากต้นแบบ

10. เสร็จแล้วก่อนหล่อเรซิ่นดูความสะอาดของแม่พิมพ์ยางซิลิโคน ถ้าสกปรกควรเช็ดให้สะอาด

11. เวลาเก็บให้วางพิมพ์ยางไว้ในปูนพลาสเตอร์เสมอ ไม่ควรวางตากแดดหรือใกล้ที่ๆมีความร้อน เพื่อยืดอายุการใช้งานของแม่พิมพ์


ขึ้ผึ้งถอดแบบ (Mold Release Wax)

เนื่องด้วยเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กล๊าสได้ รับการพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ ดังนั้นวัสดุใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และคุณภาพของผลิตภัณฑ์

ขึ้ผึ้งถอดแบบ ได้ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยลดเวลาการทำงาน คือ เป็นวัสดุที่ใช้แทนน้ำยาถอดแบบ พี.วี.เอ.

ขึ้ผึ้งถอดแบบ มีลักษณะคล้ายกับขึ้ผึ้งขัดพื้น มีหลายชนิด เช่น สีเหลืองอ่อน สีฟ้า แต่มีส่วนผสมพิเศษลงไป เพื่อช่วยการถอดแบบการทำงานก็เหมือนกับขึ้ผึ้งขัดผิว (Rubbing Compound)

คุณลักษณะในการทำงาน

- การใช้ครั้งแรกๆ สำหรับแม่แบบใหม่ ควรทาและขัดทิ้งหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ขึ้ผึ้งดูดซึมเข้าไปในเนื้อแบบดีเสียก่อน (ต้นแบบไม่ควรใช้ขึ้ผึ้งถอดแบบ ควรใช้ พี.วี.เอ. เท่านั้น)

- ใช้เฉพาะกับการใช้เจลโคทพ่นเท่านั้น หากใช้ทาเจลโคทให้ใช้ พี.วี.เอ. เพราะขนแปรงอาจแข็งเกินไป ทำให้ขึ้ผึ้งถอดแบบที่เคลือบอยู่ถูกขูดออกทำให้ชิ้นงานติดแม่แบบได้

- การขัดหนึ่งครั้งใช้ถอดแบบได้ 3-4 ครั้ง ทุกครั้งที่เริ่มปฏิบัติงานใช้แม่แบบ ควรทาขึ้ผึ้งถอดแบบบริเวณปีก หรือขอบของแม่แบบแล้วขัดทิ้ง เพราะบริเวณส่วนนั้น อาจถูกขูดออกไปได้ขณะถอดแบบ

วิธิใช้

- ใช้ฟองน้ำ หรือผ้าสำลีขยี้กับขึ้ผึ้งถอดแบบ แล้วนำไปขัดให้ทั่วผิวหน้าแม่แบบทิ้งไว้ให้ขึ้นฝ้า จึงใช้ผ้าสำลีสะอาดขัดเช็ดออก

- การขัดควรขัดแรง ๆ เพื่อให้ขึ้ผึ้งถอดแบบซึมเข้าไปในเนื้อของแม่แบบ

หมายเหตุ การทา ขึ้ผึ้งถอดแบบครั้งหนึ่ง จะใช้ถอดแบบได้ 3-4 ครั้ง เมื่อจะใช้ต่อไปอึกต้องทาและขัดใหม่อีกหนึ่งครั้ง นานๆ ไปขึ้ผึ้งถอดแบบจะสะสมพอกตัวหนาขึ้นผิวจะหยาบดังนั้นจึงควรใช้ผ้าชุบ ทินเนอร์เช็ดล้างออกแล้วลงมือทา และขัดทิ้งอีก 5-7 ครั้งจึงใช้ได้เหมือนเดิม

ความรู้พื้นฐานเรื่อง ยางซิลิโคน

ยางซิลิโคน (SILICONE RUBBER)

ยางซิลิโคนเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเลียนแบบยางธรรมชาติ ที่มีข้อจำกัดในด้านคุณภาพการใช้งาน ยางซิลิโคนมีลักษณะเป็นของเหลวข้นคล้ายกาวลาเท็กซ์ มีหลายสี ความนิ่มและความแข็งของเนื้อยางมีความหลากหลาย แล้แต่ชนิดของการใช้งานและบริษัทผู้ผลิต

การใช้งานนั้นเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับงานที่ทำ เลือกใช้ตามคุณสมบัติเบื้องต้นของยางซิลิโคนได้แก่

1. ความนิ่ม/ความแข็ง ยางที่มีความนิ่มจะมีความยืดหยุ่นสูง เก็บรายละเอียดได้ดี ( เพราะส่วนใหญ่เนื้อยางมีความเหลว ) แต่ทนความร้อนได้น้อย การทำงานในแนวตั้งมีปัญหายางหย่อนตกท้องช้าง ส่วนยางที่มีเนื้อที่แข็งกว่านั้น จะมีความยืดหยุ่นที่น้อยกว่าแบบนิ่ม มีลักษณะเด่นในเรื่องการรักษารูปทรง การทรงตัวของแม่แบบ และความทนทาน หรือยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำแม่แบบยางซิลิโคนแบบถลกหรืองานที่ลวดลายมาก ยางที่มีเนื้อนิ่มจะเหมาะสมมากกว่าในการทำงาน การทำแม่แบบยางซิลิโคนชิ้นใหญ่ ยางเนื้อที่แข็งกว่าจะเหมาะสมที่สุด

2. การทนความร้อน โดยทั่วไปยางซิลิโคนมี 2 กลุ่มได้แก่

แบบการทำให้แข็งแบบคอนเดนเซชั่น ใช้ทำแม่แบบหล่องานทั่วไปทนความร้อนอยู่ระหว่าง100-120 องศาเซลเซียส และเนื้อยางแม่แบบมีการหดตัวเล็กน้อยประมาณ 0.2-0.4% ในระหว่างแข็งตัว

แบบการทำให้แข็งตัวแบบเอดิชั่น เหมาะกับการทำต้นแบบของงานด้านวิศวกรรม และงานหล่อที่ใช้ความร้อนสูง เพราะเนื้อยางแม่แบบสามารถทนอุณหภูมิได้ถึง 250 องศาเซลเซียส

3. ความเหลวของเนื้อยาง งานที่มีรายละเอียดมาก มีซอกลึก ลวดลายละเอียดสูง ยางที่มีเนื้อที่เหลวจะทำงานได้ง่ายเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า

4. การทนแรงกด/บีบ/กระแทก เช่น การทำลูกยางที่ใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์แบบ แทมโป( tempo) จะมียางซิลิโคนเฉพาะงาน และยางซิลิโคนถอดแบบบางตัวก็สามารถประยุกต์ใช้ได้

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของการแข็งตัวแบบ คอนเดนเซชั่น และ แบบ เอดิชั่น


การทำให้แข็งตัวแบบ คอนเดนเซชั่น

การทำให้แข็งตัว แบบเอดิชั่น

การใช้งาน

  • เหมาะงานศิลปะ และการจำลองแบบสำหรับงานตกแต่ง
  • เหมาะสำหรับการทำต้นแบบของงานด้านวิศวกรรม และงานด้านเทคนิค

รายละเอียดของการทำให้แข็งตัว

  • ยางซิลิโคนจะทำปฏิกิริยากับสารเร่งปฏิกิริยาการแข็งตัวในอุณหภูมิปกติ โดยเกิดการระเหยเป็นไอ
  • ยางซิลิโคนจะทำปฏิกิริยากับสารเร่งปฏิกิริยาการแข็งตัว โดยเกิดการระเหยในปริมาณที่น้อยมาก
คุณลักษณะ
  • ทำให้แข็งตัวในอุณหภูมิปกติ
  • ระยะเวลาการแข็งตัวและอุณหภูมิในการแข็งตัวมีให้เลือกหลายระดับขึ้นอยู่กับสารเร่งปฏิกิริยาที่ใช้
  • สารลดปฏิกิริยาใดๆ จะไม่มีผลต่อการแห้งแข็งตัวและสามารถใช้กับวัสดุเกือบทุกชนิด
  • เกิดการหดตัวเล็กน้อยประมาณ 0.2 - 0.4 % ในระหว่างการแห้งแข็งตัว
  • ทำให้แข็งตัวในอุณหภูมิปกติซึ่งสามารถเร่งให้เร็วขึ้นได้โดยการเพิ่มความร้อน
  • ปราศจากการหดตัวโดยสิ้นเชิง ในระหว่างการแห้งแข็งตัว
  • ยางที่แห้งแข็งตัวได้ที่แล้ว จะไม่เกิดการอ่อนตัวอีกในอุณหภูมิสูงถึง 250 องศาเซลเซียส
  • ระดับความเร็วในการแข็งตัวอาจลดลงได้ เมื่อสัมผัสสารเคมีหรือวัสดุบางชนิด

ข้อควรระวังในการใช้งาน

ยางซิลิโคนเป็นสารที่ปลอดภัย และไม่ไวไฟแต่ควรระวังไม้ให้เข้าตา อาจระคายเคืองได้ชั่วคราว ส่วนสารเร่งปฏิกิริยาหากเข้าตาจะทำให้เกิดการระคายเคืองมาก และไอระเหยจากสารเร่งฯเป็นอันตรายต่อสุขภาพและติดไฟง่าน ควรใช้งานในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก

การเก็บรักษา

การเก็บที่ดีควรเก็บไว้ในที่อุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่านั้น จะสามารถเก็บไว้ได้ตามอายุการเก็บที่ระบุไว้ตามหีบห่อ

หากสถานที่เก็บมีอุณหภูมิสูง จะมีอายุการเก็บสั้น ยางจะจับตัวเป็นก้อนและใช้งานไม่ได้

ความรู้พื้นฐานเรื่อง เจลโค๊ท

เจลโค๊ท

ใช้ทำผิวหน้าของชิ้นงานไฟเบอร์กลาส ซึ่งปกติจะมีผิวเรียบมันวาวคุณสมบัติที่สำคัญของเจลโค๊ทคือ

1. ให้ความสวยงาม มีสีใส

2. มีความคงทนต่อดินฟ้าอากาศ

3. ทนความร้อนและความเย็นได้ค่อนข้างสูง

4. มีความยืดหยุ่นมากพอสมควน

5. เป็นส่วนที่ปกป้องผิวไฟเบอร์กลาส

ลักษณะจองเจลโค๊ท มีลักษณะเหลวข้นสีออกเหลืองขุ่นเล็กน้อย คล้ายกาวแป้งเปียก สามารผสมสีผสมเรซิ่นได้ และเจือจางไห้เหลวได้ด้วยสไตรีนโมโนเมอร์

การใช้งาน การใช้งานของเจลโค๊ทเหมือนกับเรซิ่นทั้งในเรื่องการผสมสารเร่งเพื่อให้แข็ง ตัว เพราะจริงๆแล้วเจลโค๊ทก็คือเรซิ่นที่ถูกทำให้เนื้อมีคุณสมบัติที่พิเศษขึ้น มานั่นเอง และเราสามารทำเจลโค๊ทแบบง่ายๆใช้เองได้โดยใช้เรซิ่นผสมเข้ากับผงเบาคนให้ เข้ากัน ก็จะได้เจลโค๊ทไปใช้

ประเภทของเจลโค๊ทมี 3 ประเภทได้แก่

1. ออร์โธ ( ortho ) ใช้ทำผิวงานทั่วๆไป

2. ไอโซ ( iso acid ) ใช้ทำผิวงานที่ต้องทนต่อความร้อน และสามารถทนต่อกรดด่างได้ดี

3. ทูลลิ่ง ( tooling gelcoat ) ใช้สำหรับทำแม่แบบ

ความรู้เรื่อง สารเร่งฯ BUTANOX M-60

สารเร่งปฏิกิริยา BUTANOX M-60

คือตัวเร่งปฏิกิริยา เป็นตัวทำให้เกิดปฏิกิริยา โพลิเมอไรเซชั่น เปลี่ยนสภาพโพลีเอสเทอร์เรซิ่นจากพลาสติกเหลวเป็นพลาสติกแข็งซึ่งอยู่ใน กลุ่ม METHYL ETHYL KETON PEROXIDE ( MEKPO ) ในช่วงระหว่างเกิดปฏิกิริยาทางเคมีจะเกิดความร้อนสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส

MEKPO มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี กลิ่นฉุนคล้ายกรด เป็นอันตรายต่อเยื่อจมูกและเนื้อสารเคมีเป็นอันตรายต่อผิวหนัง,ตา และส่วนที่บอบบางของร่างกาย

BUTANOX M-60

คุณสมบัติใช้ผสมกับเรซิ่นและเจลโค๊ท เพื่อทำให้เกิดการแข็งตัว ( ไม้ขีดไฟส่วนหัวที่ใช้จุดไฟ ก็มีส่วนผสมของ MEKPO )

การเก็บรักษา

1. เก็บให้ห่างจาก cobalt และเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิไม่สูง

2. กรณีเกิดการหกใส่พื้น ต้องเช็ดให้แห้งโดนใช้ acetone หรือ ทินเนอร์ ล้างออกให้สะอาด อย่านำผ้าหรือกระดาษเช็ด แล้วใส่ถังขยะรวมกัน เพราะหากมีสารเคมีตกค้าง cobalt จะทำให้ติดไฟได้

3. อายุการเก็บ 6 เดือน ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก

ข้อควรระวัง ห้ามผสม BUTANOX M-60 โดยตรงกับ COBALT จะทำให้เกิดไฟลุกได้

ลักษณะเด่นในเรื่องที่สำคัญๆในเรื่องคุณภาพของ BUTANOX M60

คุณสมบัติเด่นที่สำคัญของ BUTANOX M-60 เมื่อเปรียบเทียบกันสารเร่งปฏิกิริยาแบบอื่นๆ

หัวข้อ

BUTANOX M-60

สารเร่งฯ แบบอื่นๆ

1. การเซ็ทตัว ระบายความร้อนแบบขั้นบันได ระบายความร้อได้ดี ไม่เกิดการแตกร้าวง่าย การทำอุณหภูมิแบบฉับพลัน การระบายความร้อนไม่ดี แตกร้าวได้ง่าย
2. การระบายความร้อน ดีเยี่ยม การระบายความร้อนไม่ดีเท่าที่ควร มีโอกาศแตกร้าวได้
3. การระเหยสารเคมี ค่าการระเหยต่ำ ไห้ค่าคงที่ความเข้มข้นคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายแม้โดนอากาส ค่าการระเหยสูง เสื่อมสภาพได้ง่าย
4. ค่า ignition (อุณหภูมิที่ติดไฟ) ทนอุณหภูมิได้ถึง 220 องศาเซลเซียส ต่ำกว่า
5. ความเข็มค้น 60 % ต่ำกว่า 50%
6. อายุการเก็บ 6 เดือน ประมาณ 3 เดือน
7. การระเหยกลิ่น กลิ่นไม่แรง กลิ่นฉุนแรง
8. เป็นวัตถุไวไฟ ไวไฟ ไวไฟ
9. อันตรายต่อร่างการเมื่สัมผัส อันตราย อันตราย

ความรู้พื้นฐานเรื่อง โพลีเอสเตอร์เรซิ่น

โพลีเอสเตอร์เรซิ่น

เป็นพลาสติกเหลวชนิดหนึ่ง มีลักษณะค้นคล้ายน้ำมันเครื่อง กลิ่นฉุนแข็งตัวด้วยความร้อนสูง เป็นวัตถุไวไฟชนิดหนึ่ง มีอตราการหดตัว 2-8% หลังเซทตัวเต็มที่ เรซิ่นสามารถหล่อขึ้นรูปได้มากมายหลากหลายรูปแบบ เรซิ่นสำหรับหล่องานทั่วไป หล่อพระ หล่อของที่ระลึก หล่อตุ๊กตาฯลฯ เรซิ่นสำหรับหล่องานไฟเบอร์กลาส และเรซิ่นสำหรับงานเคลือบ เช่น งานเคลือบกรอบรูปวิทยาศาสตร์

ในขณะทำการหล่อ เรซิ่นจะปล่อยกลิ่นเคมีออกมาซึ่งมีกลิ่นเหม็นฉุน ดังนั้นสถานที่ทำงานควรเป็นที่โปร่งอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรทำงานในสถานที่ที่เป็นห้องทึบตัน และไม่มีการไหลเวียนของอากาศหรือการระบายอากาศที่ดีพอ

เรซิ่นแยกตามเกรดของคุณสมบัติของเนื้อเรซิ่นคือ

1. เกรด ortho-phthalic type คือชนิดเกรดใช้งานได้ทั่วไป

2. เกรด isophthalic type คือชนิดที่ทนกรด-ด่างได้ดี

3. เกรด bisphenol type คือชนิดที่ทนกรด-ด่างสูง

4. เกรด chlorendics type ชนิดทนดรก-ด่าง สูง

5. เกรด vinyl ester คือชนิดที่ทนกรด-ด่างสูงมาก แข็งแรง มีคุณสมบัติที่เป็นรองแค่ epoxy resin

เรซิ่นแยกตามเนื้อเป็น 2 แบบ คือ

1. nonpromote คือเรซิ่นชนิดที่ยังไม่ผสมสารช่วยเร่งปฏิกิริยา ลักษณะของเนื้อเรซิ่นจะเป็นของเหลวค้นคล้ายน้ำมัน มีใสใสอมเหลือง จุดเด่นคือมีอายุการเก็บ 3 เดือน( สำหรับประเทศไทยซึ่งมีอากาศร้อนชื้นควรใช้ให้หมดภายใน 1เดือน เพราะเมื่อเข้าสู่เดือนที่2และ3 เรซิ่นจะเริ่มมีความหนดข้นขึ้นเรื่อยๆ) และยังสามารถประยุกต์สูตรได้อีกมากมาย เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบงานต่างๆ

โพลีเอสเทอร์เรซิ่น ชนิด non promote

2. promote คือเรซิ่นชนิดที่ผสมสารช่วยเร่งฯ มาแล้ว ลักษณะของเนื้อเรซิ่นจะเป็นของเหลวค้นคล้ายน้ำมันเครื่อง แต่มีสีชมพูบานเย็นเพราะเป็นเรซิ่นที่ได้ผสมสารช่วยเร่งปฏิกิริยาแล้ว เมื่อนำมาใช้งานก็แค่เติมสารเร่งฯลงไป ในเรื่องของสีเรซิ่นนั้นบางบริษัทผู้ผลิดอาจมีการใช้สารช่วยเร่งที่แตกต่าง ดังนั้นเรซิ่นชนิดผสมสารช่วยเร่งบางตัวจะมีสีอล้ำคล้ายน้ำเฉาก๊วย และสำหรับชนิดที่ใช้กับงานหล่อใสแล้วเรซิ่นจะมีสี ใสอมน้ำเงินอ่อนๆ จุดเด่นคือใช้งานง่ายและคล่อง ไม่ยุ่งยาก แต่ข้อเสียคือมีอายุการเก็บสั้น อายุการเก็บไม่เกิน 2 เดือน ในการใช้งานจริงควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน

แบบงานหลอ่ทั่วไป แบบงานหล่อใส

คุณสมบัติของโพลีเอสเทอร์เรซิ่น

เรซิ่นเป็นพลาสติกหล่อที่มีคุณสมบัติทั้งทางกายภาพ ทางไฟฟ้า และทางเคมี

คุณสมบัติทางกายภาพ มีคุณสมบัติให้เนื้อแข็ง ใส เงา ทนอุณหภูมิสูงดีกว่าพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติก ( termoplastic ) แต่น้อยกว่าโลหะ เมื่อเสริมแรงด้วยใยแก้ว จะได้ความแข็งแรงที่เพิ่มมากขึ้น มีความเบา แข็งแรงเหนียว ไม่เปราะ

คุณสมบัติทางไฟฟ้า เรซิ่นมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ครบถ้วน สามารถนำไปใช้เป็นฉนวนไฟฟ้า ( insulator ) ได้

ลักษณะการใช้งานของโพลีเอสเตอร์เรซิ่น

เรซิ่นนำไปใช้งานได้มากมายหลายกลุ่มงาน แต่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆที่นิยมใช้ในบ้านเรา ได้แก่

1. กลุ่มงานหล่อ ( casting ) เช่นหล่อพระ หล่อของชำร่วย หล่อตุกตา หล่อกระดุม หล่อแก้วเทียม ฯลฯ

2. กลุ่มงานเคลือบ ( laminate ) เช่นงานเคลือบกรอบรูปวิทยาศาสตร์

3. กลุ่มงานขึ้นรูปแบบ ( molding ) เช่นการผลิตงานไฟเบอร์กลาส หรือ FRP ( fiberglass reinforce plastic ) พลาสติกเสริมแรงด้วยใยแก้ว

การแข็งตัวของเรซิ่น

โพลีเอสเทอร์เรซิ่นสามารถแข็งตัวได้หลายวิธีดังนี้

1. โดยใช้ตัว catalyst หรือตัวทำให้แข็ง + ความร้อน

2. โดยใช้ตัว catalyst หรือตัวทำให้แข็ง + ตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา promote/accelerator ที่อุณหภูมิห้อง

3. โดยใช้แสงอุลตร้าไวโอเลต

4. โดยใช้อิเลคตรอน

5. โดยให้แสงแดด

6. โดยใช้ความร้อน

โดยทั่วไปการแข็งตัวของเรซิ่นแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงที่1. gel time คือช่วงหลังจากเติมตัว catalyst แล้วจนเรซิ่นจับตัวเป็นวุ้น ช่วงที่2. cure time คือช่วงที่เรซิ่นแข็งตัวเต็มที่และเป็นช่วงที่เรซิ่นเย็นตัวลงหลังจากที่มี ความร้อนสูงในขณะทำปฏิกิริยา

องค์ประกอบที่มีผลต่อการแข็งตัวของเรซิ่น

1. อุณหภูมิ อุณหภูมิสูงเรซิ่นแข็งตัวเร็วกว่าอุณหภูมิต่ำ

2. ปริมาณตัวเร่งฯ และ ตัวช่วยเร่งฯ ปริมาณที่มากแข็งตัวเร็วกว่าปริมาณที่น้อย

3. ความชื้นหรือน้ำ ความชื้นสูงการแข็งตัวของเรซิ่นจะช้าลง ผิวงานขึ้นฝ้ามัว โดยปกติปริมาณน้ำที่อยู่ในเรซิ่นจะต้องมีค่าไม่เกิน 0.05%

4. ปริมาณออกซิเจน ออกซิเจนเป็นตัวป้องกันการแข็งตัวของเรซิ่น ถ้าปริมาณออกซิเจนสูง เช่นการกวนเรซิ่นมากๆ นานๆ การแข็งตัวของเรซิ่นจะช้าลง และออกซิเจนมีประโย๙น์มากในเรื่องการยืดอายุการเก็บของเรซิ่น หากเริ่มเก็บเรซิ่นไว้นานขึ้น ควรสร้างออกซิเจนให้เกิดในถังหรือปีบดว้ยการกลิ้งถังไปมา เพื่อให้เรซิ่นข้างในเกิดการเคลื่อนไหว จะเกิดออกซิเจน และจะทำให้เรซิ่นมีอายูการเก็บเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย